การลงทุน ESG จะอยู่รอดไหม เมื่อโลกหันกลับมาพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอีกครั้ง

การลงทุน ESG จะอยู่รอดไหม เมื่อโลกหันกลับมาพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอีกครั้ง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “การลงทุนแบบยั่งยืน” หรือที่เรียกว่า ESG (Environmental, Social, and Governance) กลายเป็นเทรนด์ใหญ่ในโลกการเงิน นักลงทุนทั่วโลกต่างมองว่าบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีธรรมาภิบาล และรับผิดชอบต่อสังคม คืออนาคตของเศรษฐกิจโลก เพราะมันสะท้อนถึงความมั่นคงในระยะยาว และลดความเสี่ยงจากวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม

แต่ภาพที่เคยสดใสของ ESG กำลังถูกท้าทายอีกครั้ง เมื่อราคาพลังงานทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นจากสงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความต้องการพลังงานที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลายประเทศที่เคยประกาศลดการใช้พลังงานฟอสซิล กลับต้อง “หันหลังกลับ” ไปใช้ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงด้านพลังงาน

พลังงานสะอาด เทรนด์ทางเลือกและธีมการลงทุนรักษ์โลก

จากยุคพลังงานสะอาด สู่ความจริงของโลกที่ยังต้องใช้พลังงานสกปรก

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา โลกต่างพูดถึง Net Zero หรือเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในกลางศตวรรษ บริษัทใหญ่ๆ จากทุกอุตสาหกรรมเริ่มลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และไฮโดรเจน ขณะที่กองทุน ESG กลายเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดโลก

แต่เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย–ยูเครนในปี 2022 ความเป็นจริงก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อยุโรปซึ่งเคยพึ่งพาก๊าซจากรัสเซียต้องเผชิญวิกฤตพลังงานครั้งใหญ่ ประเทศต่างๆ ต้องกลับมาเปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เคยปิดไป และนำเข้าน้ำมันมากขึ้นเพื่อรักษาความต่อเนื่องของระบบเศรษฐกิจ

สิ่งนี้ทำให้โลกตระหนักว่า “พลังงานสะอาด” ยังไม่สามารถทดแทนพลังงานฟอสซิลได้เต็มรูปแบบในเวลานี้ การเปลี่ยนผ่านพลังงานอาจต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่คิด และในช่วงรอยต่อนั้น โลกอาจต้องกลับมาใช้พลังงานฟอสซิลเพื่อความอยู่รอดก่อน

 

ESG ไม่ได้หายไป แต่ต้องปรับตัวให้เข้ากับความจริงใหม่ของโลก

แม้หลายประเทศจะกลับมาใช้พลังงานฟอสซิล แต่ไม่ได้หมายความว่าแนวคิด ESG จะหมดความสำคัญ ตรงกันข้าม ESG กำลัง “เปลี่ยนรูปแบบ” จากการหลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษ ไปสู่การ “ลงทุนเพื่อปรับปรุง” อุตสาหกรรมนั้นให้สะอาดขึ้น

เช่น กองทุน ESG จำนวนมากเริ่มลงทุนในบริษัทพลังงานฟอสซิลที่มีนโยบายลดการปล่อยคาร์บอน ลงทุนในเทคโนโลยี Carbon Capture หรือใช้พลังงานหมุนเวียนผสมในกระบวนการผลิต เพราะมองว่าการเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง ต้องเริ่มจากภายในอุตสาหกรรมพลังงานเอง

แนวคิดนี้เรียกว่า “Transition Finance” หรือการลงทุนเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานสกปรกสู่พลังงานสะอาดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นทิศทางใหม่ของ ESG ที่กำลังได้รับการยอมรับจากทั้งนักลงทุนและภาครัฐทั่วโลก

 

ตลาดการเงินเริ่มตีความ ESG ในมิติที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม

ในอดีต ESG มักถูกมองแบบ “ขาวดำ” คือดีหรือไม่ดีตามเกณฑ์สิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบันแนวคิดนี้เริ่มเปลี่ยนไป นักลงทุนเริ่มเข้าใจว่าความยั่งยืนไม่ได้หมายถึงการเลิกพลังงานฟอสซิลทันที แต่คือการบริหารความเสี่ยงและหาทางออกที่สมดุล

เช่น บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่าง Shell, BP หรือ ExxonMobil ต่างประกาศกลยุทธ์ “Net Zero Pathway” โดยยังคงผลิตพลังงานฟอสซิล แต่ลงทุนอย่างจริงจังในเทคโนโลยีใหม่ เช่น พลังงานลมทะเล ระบบดักจับคาร์บอน และไฮโดรเจนสีเขียว

ในมุมของนักลงทุน การถือหุ้นบริษัทเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องขัดแย้งกับ ESG อีกต่อไป หากบริษัทแสดงให้เห็นถึง “แผนการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน” และมีความโปร่งใสในการรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

แรงกดดันจากความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ

แม้โลกจะเห็นด้วยกับการลดคาร์บอน แต่เมื่อราคาพลังงานสูงขึ้น และเศรษฐกิจชะลอตัว ความยั่งยืนกลับถูกมองว่า “เป็นของฟุ่มเฟือย” สำหรับบางประเทศที่ยังต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ

ในประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม หรืออินเดีย การใช้พลังงานฟอสซิลยังจำเป็นต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมและการสร้างงาน รัฐบาลจึงต้องเลือก “ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับเศรษฐกิจ” ซึ่งในหลายกรณี ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจย่อมมาก่อน

นี่คือเหตุผลว่าทำไม ESG ถึงต้องปรับแนวทางจาก “การห้ามลงทุนในพลังงานสกปรก” มาเป็น “การสร้างพลังงานสะอาดในระบบที่ยังมีพลังงานสกปรกอยู่” เพื่อให้เศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อได้โดยไม่ละทิ้งเป้าหมายระยะยาว

รู้จักพลังงานสะอาด และประโยชน์ของพลังงานสะอาดสำหรับธุรกิจ – GreenYellow  Thailand

ESG ยุคใหม่คือเรื่องของการเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่การปฏิเสธ

สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกเริ่มเข้าใจคือ การเปลี่ยนแปลงทางพลังงานต้องอาศัย “การเปลี่ยนผ่าน” มากกว่าการ “ตัดขาด” เพราะหากหยุดใช้พลังงานฟอสซิลทันที เศรษฐกิจโลกจะหยุดชะงักในทันทีเช่นกัน

กองทุน ESG ยุคใหม่จึงมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่ “กำลังเปลี่ยน” มากกว่าบริษัทที่ “สมบูรณ์แบบแล้ว” เช่น บริษัทเหมืองที่เปลี่ยนจากถ่านหินไปลงทุนในแร่ลิเธียมหรือโคบอลต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า หรือบริษัทปิโตรเคมีที่พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลพลาสติกในวงปิด

แนวทางนี้สะท้อนว่า ESG ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางจริยธรรมของนักลงทุน แต่เป็น “แนวคิดเชิงกลยุทธ์” ที่ช่วยให้บริษัทสามารถปรับตัวและอยู่รอดในโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

 

บทบาทของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต ESG

เทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ ESG ยังคงอยู่รอดได้ในโลกที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิล เทคโนโลยีอย่าง Carbon Capture, Energy Storage, และ Hydrogen Economy จะกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างพลังงานเก่ากับพลังงานใหม่

ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุน ESG ยังหันมาสนใจเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม เช่น ระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ (Smart Grid) หรือซอฟต์แวร์ตรวจวัดการปล่อยคาร์บอนขององค์กร ซึ่งช่วยให้การดำเนินธุรกิจโปร่งใสและตรวจสอบได้จริง

เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้เริ่มใช้ในวงกว้าง ESG จะไม่ใช่เพียงแนวคิด แต่จะกลายเป็น “เครื่องมือจริง” ที่สร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน

 

อนาคตของ ESG ในโลกที่ยังมีพลังงานฟอสซิล

ในระยะสั้น โลกอาจกลับมาใช้พลังงานฟอสซิลมากขึ้น แต่ในระยะยาว เทรนด์ ESG จะยังคงอยู่และแข็งแรงกว่าเดิม เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้หายไปไหน มันเพียงถูกเลื่อนออกจากลำดับความสำคัญชั่วคราวเท่านั้น

เมื่อประเทศต่างๆ เริ่มเห็นต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่สูงขึ้น เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม หรือการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ แนวคิด ESG จะกลับมาเป็น “หัวใจของกลยุทธ์ทางธุรกิจ” อีกครั้ง แต่คราวนี้จะเป็น ESG ที่แข็งแรงขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และเชื่อมโยงกับความจริงมากกว่าในอดีต

 

การหวนกลับมาพึ่งพาพลังงานฟอสซิลไม่ได้หมายความว่าโลกถอยหลังจากความยั่งยืน แต่สะท้อนว่า “การเปลี่ยนผ่านต้องใช้เวลาและการบริหารจัดการที่ชาญฉลาด”

ESG ที่อยู่รอดในยุคนี้จะไม่ใช่การตั้งเกณฑ์สวยหรูเพื่อประเมินบริษัท แต่คือการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมในโลกแห่งความจริงที่ซับซ้อน

ในท้ายที่สุด การลงทุน ESG ที่แท้จริงจะไม่ถูกวัดด้วยจำนวนโครงการพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้น
แต่จะถูกวัดด้วย “ความสามารถของมนุษย์ในการเปลี่ยนระบบเก่า ให้กลายเป็นระบบที่ดีกว่า”  แม้จะต้องเริ่มต้นจากพลังงานฟอสซิลก็ตาม