ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มนุษย์ให้คุณค่าอย่างยาวนาน นอกจากจะใช้เป็นเครื่องประดับ ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือเก็บมูลค่าในช่วงวิกฤต เศรษฐกิจผันผวน หรือเงินเฟ้อสูง ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน “อุปสงค์ทองคำ” จึงกลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่นักลงทุน นักวิเคราะห์ และภาครัฐให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด
คำว่า “อุปสงค์” ไม่ได้หมายถึงความต้องการในแง่ความรู้สึกเท่านั้น แต่หมายถึง ปริมาณที่ตลาดพร้อมซื้อทองคำ ณ ระดับราคาหนึ่งๆ และในตลาดโลก ตัวแปรนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยเดียว แต่มีองค์ประกอบที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตามบริบทของเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี
อุปสงค์ทองคำโลกไม่ได้มาจากนักลงทุนเพียงกลุ่มเดียว
หลายคนอาจเข้าใจว่าอุปสงค์ทองคำมาจากการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อยหรือสถาบันการเงิน แต่ในความเป็นจริง กลุ่มที่สร้างอุปสงค์ในตลาดทองคำโลกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
- ภาคเครื่องประดับ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดของความต้องการทองคำในแต่ละปี โดยเฉพาะในประเทศอย่างอินเดีย จีน และกลุ่มตะวันออกกลาง
- ภาคการลงทุน ทั้งนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อทองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ และกองทุน ETF ที่มีทองคำเป็นสินทรัพย์อ้างอิง
- ธนาคารกลาง ของแต่ละประเทศที่ซื้อทองคำเพื่อสำรองในคลัง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าของค่าเงินและการควบคุมเสถียรภาพการเงิน
- ภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เช่น การใช้ทองคำในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์
ราคาทองคำสัมพันธ์กับอุปสงค์ในแบบที่ไม่ธรรมดา
ในตลาดทั่วไป เมื่อราคาสินค้าสูงขึ้น อุปสงค์มักจะลดลง แต่ทองคำมีลักษณะพิเศษตรงที่อุปสงค์อาจเพิ่มขึ้นแม้ราคาพุ่งสูง
เหตุผลคือ ทองคำไม่ใช่แค่ “สินค้า” แต่เป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” หรือ Safe Haven Asset ดังนั้นในช่วงที่ตลาดทุนผันผวน ค่าเงินอ่อน หรืออัตราเงินเฟ้อพุ่ง นักลงทุนมักแห่เข้าหาทองคำเพื่อปกป้องความมั่งคั่ง ซึ่งส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์อุปสงค์สวนทางกับราคาที่สูงขึ้น
ธนาคารกลางทั่วโลกคือผู้เล่นรายใหญ่ที่เปลี่ยนเกม
ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา ธนาคารกลางของหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ กลับมาซื้อทองคำในปริมาณสูงขึ้นต่อเนื่อง
หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือความพยายามกระจายความเสี่ยงจากเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ และลดการพึ่งพาสินทรัพย์ที่ผูกกับตลาดทุนตะวันตก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง หรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
ประเทศอย่างจีน อินเดีย รัสเซีย และตุรกี เป็นตัวอย่างของประเทศที่เพิ่มการถือครองทองคำอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ความต้องการทองคำในภาพรวมขยายตัว แม้ในช่วงที่ราคาขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง
อีทีเอฟทองคำกับบทบาทใหม่ของนักลงทุนรายย่อย
กองทุนทองคำแบบ ETF หรือ Exchange Traded Fund คือช่องทางที่ทำให้นักลงทุนสามารถถือครองทองคำได้โดยไม่ต้องมีทองจริงในมือ
ETF อย่าง SPDR Gold Trust มีอิทธิพลต่อราคาทองคำโลกอย่างมาก เพราะมีการเคลื่อนไหวซื้อขายแบบรายวัน เมื่อนักลงทุนแห่ซื้อ ETF ปริมาณทองคำที่ต้องสำรองในกองทุนก็ต้องเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำจริงในตลาดปรับตัวตามไปด้วย
อุปสงค์จาก ETF เป็นสิ่งที่เปลี่ยนธรรมชาติของตลาดทองคำให้ใกล้เคียงกับตลาดทุนมากขึ้น เพราะมีการเก็งกำไรระยะสั้นที่เคลื่อนไหวเร็วกว่าอดีต
อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดันอุปสงค์ทองคำแบบไม่หวือหวาแต่ต่อเนื่อง
แม้สัดส่วนจะไม่มากเท่ากลุ่มเครื่องประดับหรือการลงทุน แต่ความต้องการทองคำจากภาคอุตสาหกรรมมีเสถียรภาพและเติบโตอย่างช้าๆ
ทองคำมีคุณสมบัตินำไฟฟ้าดี ไม่เป็นสนิม จึงถูกใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์สื่อสารความเร็วสูง
การเติบโตของเทคโนโลยี 5G, รถยนต์ไฟฟ้า และ AI จะยิ่งเพิ่มความต้องการทองคำในระยะยาว แม้จะไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในราคาทองแบบทันที
ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่ออุปสงค์อย่างมีนัยสำคัญ
- นโยบายดอกเบี้ยของเฟด เมื่อดอกเบี้ยสูง ทองคำจะถูกมองว่ามีต้นทุนโอกาสที่สูงกว่าการถือเงินสดหรือตราสารหนี้
- ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงคราม หรือการแทรกแซงทางเศรษฐกิจ ล้วนส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือทอง
- อัตราเงินเฟ้อและเสถียรภาพทางการเงิน ทองคำมักถูกใช้เป็นเกราะป้องกันมูลค่าของเงินในช่วงที่สกุลเงินหลักอ่อนตัว
สรุป
อุปสงค์ทองคำโลกไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างเรียบง่าย แต่เป็นผลรวมของพฤติกรรมจากหลายกลุ่ม ทั้งผู้บริโภค นักลงทุน ธนาคารกลาง และภาคอุตสาหกรรม ทองคำไม่ใช่แค่เครื่องประดับหรือของสะสม แต่เป็นสินทรัพย์ที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจและการลงทุนระดับโลก ความต้องการในแต่ละช่วงเวลาจึงถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยที่ลึกและซับซ้อน ผู้ที่ต้องการลงทุนหรือวิเคราะห์แนวโน้มทองคำจึงไม่ควรดูแค่ราคา แต่ต้องเข้าใจว่าใครกำลังต้องการทองคำ และเพราะอะไร ถึงจะสามารถประเมินทิศทางของตลาดได้อย่างแม่นยำและยั่งยืนในระยะยาว